"Chinese Academy of Science (CAS) ต้องใช้เวลาถึง 30 ปี จึงสามารถผลิตผลงานขึ้นมาได้ โดย 10 ปีแรกทำงานแค่เปลี่ยนระบบแนวคิด ทัศนคติ Mindset ต่อมาจึงพัฒนาคน และระบบวิจัย ระยะหลังนี้จึงมีผลงาน"
พวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์ กล่าวถึงการปฏิวัติการวิจัยในจีนไว้ในโพสต์ทูเดย์ วันพุธที่ 16 สิงหาคม 2560 เธอบอกว่า ...สำหรับประเทศไทยเราแม้จะมีสภาวิจัยมาตั้ง 50 ปีแล้ว แต่งานวิจัยของไทย มีข้อด้อย 4 ข้อ คือ
1)การวิจัยไม่ตรงกับความต้องการ จึงขายไม่ออก
2)การวิจัยไม่มีเงินทุนสำหรับการวิจัยต่อเนื่อง
3)ผลงานการวิจัยราคาแพง นักวิจัยประเมินความสามารถของตนเองสูงมาก
4)ผลการวิจัยเป็นผลการวิจัยในห้องแล็ป ยังก้าวขึ้นเป็น prototype และ scale up ไม่ได้
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ประเทศไทยเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร?
เธอตอบว่าไทยต้องทำสองเรื่อง คือ
1)ต้องยกเครื่องระบบวิจัยไทยทั้งหมดโดยดึงออกจากระบบราชการ เธอบอกว่า เลิกคร่ำครึได้แล้วว่างานนโยบายต้องเป็นระบบราชการ
2)หน่วยงานฟันเฟืองหรือแขนขาที่จะต้องทำงานต้องเป็นหน่วยงานที่ตั้งโดยพระราชบัญญัติพิเศษที่สามารถให้ผลตอบแทนสูงเป็นแรงจูงใจให้คนเก่งทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาทำงาน
ผมเองอ่านบทความของเธอแล้ว ก็นึกย้อนอดีตกลับไปที่การสอนการวิจัยทางสังคมศาสตร์ของผม โดยเฉพาะการวิจัยทางรัฐประศาสนศาสตร์ที่ผมเคยสอนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์อยู่หลายปี
ผมคำนึงอยู่ในใจว่าวงการวิจัยของเรายังต้องออกแรงปรับปรุงการปฏิบัติงานวิจัยกันอีกมากมายอยู่นะครับ ไม่ว่าจะเป็นด้านผู้สอนการวิจัย ด้านผู้เรียน หรือด้านผู้บริหารระดับสูงในสถาบันการศึกษา รวมทั้งบรรดาลูกค้าที่ในทุกวงการที่จะนำเอาผลการวิจัยของเราไปประยุกต์ใช้ และรับเอาบัณฑิตลูกศิษย์ของเราไปใช้สอยในระบบการผลิตและระบบสังคมทั่วๆไป งานปรับปรุงระบบการวิจัยไทยเป็นงานที่ยากลำบากมาก หนักหนาระดับการปฏิวัติกันเลยทีเดียวครับ ดังนั้น ต้องอิงอาศัยอิทธิฤทธิ์ความสามารถของพระบรมศาสดากันเลยครับ
ดังนั้นผมขอฝากกำลังใจมากระตุ้นความมุ่งมั่นตั้งใจจริงในการปรับปรุงระบบการวิจัยไทยนะครับ
อย่าละทิ้งความอยาก อย่าละทิ้งความฝัน
อย่าละทิ้งความอยาก อย่าละทิ้งความฝัน
อยู่อย่างคนหิว อยู่อย่างคนโง่
Stay Hungry, Stay Foolish
สัมมา วายาโม!!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น